วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

ไม่สบาย..ใช้ยาได้ไหมเนี่ย ?

ไม่ สบาย..ใช้ยาได้ไหมเนี่ย ?


แม่ท้องก็มีวันเจ็บ ไข้ได้เหมือนกันนะ สงสัยจังว่า..จะดูแลตัวเองยังไงดี
          "โอย...! ไม่สบายมา 2-3 วันแล้ว เจ็บคอจังเลย น้ำมูกก็เยอะ หายใจไม่ออก ทำยังไงดี ยาก็ไม่กล้ากินเพราะท้องอยู่"
           "ตอนนี้ท้องแล้ว ยาที่เคยกินเป็นประจำ จะกินต่อได้ไหมนี่ ?"
           "ตายแล้ว...เมื่อวานกินยาแก้ปวดไป 2 เม็ด จะเป็นอะไรไหมนี่ กำลังท้องอยู่เสียด้วย"
          เมื่อไม่ สบายเล็กๆ น้อยๆ คุณแม่ตั้งครรภ์ส่วนใหญ่คงเคยคิดสงสัยแบบนี้มาแล้วและพอพูดถึงเรื่องไม่สบาย คงหนีไม่พ้นที่ต้องพูดถึงเรื่องยาด้วย หลายคนคงเคยได้ยินกิตติศัพท์ของยาบางอย่างที่ทำให้ลูกน้อยในท้องพิการ จึงทำให้เกิดความกังวลเวลาไม่สบายขึ้นมา(เพราะอาจต้องกินยา) จริงครับ ยาบางชนิดอาจมีผลร้ายแรงต่อลูกในท้อง สามารถทำให้เกิดการแท้ง หรือพิการแต่กำเนิดได้ แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ยาที่ใช้กันทั่วไปส่วนใหญ่แล้วค่อนข้างปลอดภัยทั้งกับคุณแม่และลูกในท้อง แต่เพื่อความไม่ประมาท เมื่อจะใช้ยาคุณแม่ควรต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะถ้าแพทย์ผู้ดูแลไม่ได้สั่งยานั้นให้(ซื้อเองตามร้านขายยาทั่วไป)

แม่กินยา..ลูกกินด้วย
         ยาเกือบ ทุกชนิด เมื่อคุณแม่กินเข้าไป จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด และส่วนหนึ่งจะผ่านรกไปสู่ลูกในท้อง ทำให้ลูกได้รับยานั้นด้วย ยาจะก่อให้เกิดอันตรายต่อลูกในท้องหรือไม่นั้น ขึ้นกับว่าเป็นยาชนิดอันตรายมากน้อยแค่ไหน และลูกได้รับในปริมาณเพียงใด ที่สำคัญยังขึ้นกับระยะของการตั้งครรภ์อีกด้วย

         โดยปกติแล้ว ช่วงเวลาที่อันตรายและอาจทำให้ลูกน้อยเกิดความพิการได้มากที่สุด คือช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ทารกกำลังสร้างอวัยวะต่างๆ อยู่ ถ้ามีอะไรไปรบกวนในช่วงนี้จะทำให้เกิดความพิการขึ้นมาได้
          เมื่อพ้นช่วงนี้ไปแล้วมักไม่มีผลทำ ให้เกิดความพิการอะไรหรอกครับ แต่จะไปมีผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์มากกว่า ที่สำคัญอีกอย่างคือ มีผลต่อสมอง ซึ่งมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องโดยตลอดตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนหลังคลอด ดังนั้นยาบางชนิดแม้จะไม่ก่อให้เกิดความพิการที่เห็นได้ชัดทางร่างกาย แต่อาจมีผลต่อพัฒนาการของสมองของลูกได้

ใช้ยาให้ปลอดภัย
        คุณแม่คงสงสัยว่า แล้วอย่างนี้ถ้าไม่สบายขึ้นมาระหว่างที่ท้องอยู่จะทำอย่างไรดี? จะรับประทานยาได้หรือไม่ ? แล้วยาชนิดไหนอันตราย ? คำ ถามนี้ตอบยาก คงต้องพิจารณาเป็นกรณีไปครับ แต่มีคำแนะนำโดยทั่วไปอยู่บ้าง ถ้าคุณแม่เกิดไม่สบายขึ้นมาหรือจำเป็นต้องรับประทานยาระหว่างตั้งครรภ์

         * อย่าลืมประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่า คุณแม่กำลังตั้งครรภ์อยู่ โดยบอกให้แพทย์ เภสัชกร หรือใครก็ตามที่จะรักษาคุณแม่รู้ว่า ฉันกำลังท้องอยู่นะคะ โดยเฉพาะถ้าเพิ่งตั้งครรภ์ (ท้องโตมากแล้วคงไม่ต้องก็ได้ มันเห็นๆ กันอยู่น่ะ)
         * ถ้าเป็นไปได้ ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาใดๆ ก็ตามในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะยาที่ซื้อใช้เอง
         * ถามตัวเองหรือหมอที่ดูแลว่า จำเป็นต้องใช้ยารักษาอาการไม่สบายที่เกิดขึ้นนั้นหรือไม่ มีทางเลือกอื่นบ้างหรือไม่ที่ไม่ต้องใช้ยา
         * ถ้าจะต้องใช้ยาชนิดใดก็ตาม คุณแม่ต้องทราบให้แน่ชัดว่า ยานั้นใช้เพื่อรักษาอะไร และมีผลข้างเคียงหรือไม่ อย่างไร โดยเฉพาะกับลูกในครรภ์ คุณแม่อย่าไปเชื่อเอกสารกำกับยาเสียทีเดียวนะครับ บางทีรายละเอียดในนั้นมีไม่มากพอสำหรับแม่ตั้งครรภ์ อีกอย่างในบ้านเรามักไม่มีเอกสารกำกับยาให้ด้วยซ้ำ ดังนั้นควรปรึกษากับเภสัชกรหรือแพทย์เป็นดีที่สุดครับ
         * ปรึกษาแพทย์ผู้ดูแล ว่ายาชนิดไหนปลอดภัยและอันตรายสำหรับแม่ตั้งครรภ์เสียตั้งแต่เริ่มไปฝาก ครรภ์
         * อย่าเพิ่งตื่นตระหนกตกใจ ถ้ารับประทานยาบางชนิดเข้าไปแล้ว โดยเฉพาะตอนที่ยังไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ ใจเย็นๆ ครับ เพราะอย่างที่บอก ยาส่วนใหญ่นั้นปลอดภัย แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อความแน่นอนและสบายใจดีกว่าครับ
         * ในกรณีที่คุณแม่มีโรคประจำตัว ต้องรับประทานยาบางชนิดอยู่เป็นประจำนั้น เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อพิจารณาถึงผลข้างเคียง ขนาดของยาและความจำเป็นที่จะต้องใช้ในระหว่างตั้งครรภ์ แต่จะให้ดีที่สุด ควรปรึกษากันเสียก่อน ตั้งแต่เริ่มวางแผนว่าจะตั้งครรภ์ครับ รวมทั้งต้องคำนึงด้วยว่า ถ้าไม่ใช้ยารักษาโรคที่เป็นอยู่ จะส่งผลต่อการตั้งครรภ์หรือลูกในท้องหรือไม่ อย่างไร
          * ระหว่างตั้งครรภ์คุณแม่ควรใช้ยาในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดกับลูกให้มากที่สุด และเมื่อเกิดอาการไม่สบายขึ้นมา ถ้าเป็นไม่มากนักการดูแลรักษาตัวเองอย่างถูกต้องและเหมาะสม จะช่วยให้คุณแม่หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ไม่จำเป็นได้

        แต่ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้ยาจริงๆ หัวใจสำคัญคือ ต้องใช้อย่างระมัดที่สุด หรือใช้ยาโดยไม่ได้อยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์

ไปฝากครรภ์...หมอตรวจอะไร

ไป ฝากครรภ์...หมอตรวจอะไร


ทำไมคนท้องถึงต้อง ไปฝากครรภ์กันนะ?
     + ตรวจปัสสาวะ เพื่อดูว่าปริมาณน้ำตาลและโปรตีนว่าปกติหรือเปล่า เพราะผลของ 2 ตัวนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกความ ผิดปกติในตัวคุณแม่

     + วัดความดันโลหิต เพื่อดูการทำงานของระบบเลือด เพื่อป้องกันความเสี่ยงของความดันโลหิตสูง

     + ตรวจหน้าท้อง คุณหมอจะคลำหน้าท้องเพื่อดูขนาดและตำแหน่งของลูกน้อยในครรภ์

     + ชั่งน้ำหนักคุณแม่ เพราะการที่น้ำหนักคุณแม่น้ำหนักขึ้น อาจจะกระทบต่อปัญหาสุขภาพค่ะ

     + ตรวจอัตราการเต้นของหัวใจลูกในครรภ์ สามารถฟังเสียงหัวใจเต้นได้เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 16 สัปดาห์

     + ตรวจอาการบวมเหนือข้อเท้า อาการบวมที่แขน ขา เท้า หรือหน้า แสดงว่าคุณแม่มีน้ำในร่างกายมากขึ้น ซึ่งอาจจะ กระทบกับการตั้งครรภ์ในช่วงไตรมาสสุดท้ายค่ะ

          คุณ แม่ควรหมั่นสังเกตอาการตัวเองนะคะ เพราะหากมีอาการผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์ ควรสอบถามคุณหมออย่าง ละเอียด เพื่อความปลอดภัยของคุณแม่และลูกน้อยค่ะ

บำรุงสายตา...ช่วงตั้งครรภ์

บำรุง สายตา...ช่วงตั้งครรภ์


          การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและความดันโลหิตในช่วงตั้งครรภ์ อาจทำให้ดวงตาเกิดอาการพร่ามัว รวมถึงการใช้สายตาในนการทำงานเป็นเวลานานจะทำให้สายตาอ่อนล้าได้ง่าย ดังนั้น ในช่วงตั้งครรภ์จึงควรหมั่นกินอาหารที่มีสารอาหาร ในการช่วยบำรุง สายตาค่ะ
    วิตามินเอ : มีลูทีนและซีเซนทีนช่วยบำรุงดวงตาให้ไม่ระคายเคืองง่ายและไม่แห้ง พบได้ทั้งในผลิตผลจากสัตว์ เช่น ตับ ไข่แดง นม น้ำมันสกัดจากตับปลา ส่วนผักผลไม้ที่มีวิตามินเอคือพืชที่มีสารสีเขียวจัด สีแสด สีเหลือง เช่น ผักบุ้ง มะละกอสุก ฟักทอง ตำลึง บร็อคโคลี แครอท มะม่วงสุก เป็นต้น

    วิตามินอี : ช่วย ป้องกันอนุมูลอิสระไม่ให้ทำลาย จอรับภาพภายในดวงตา ซึ่งมีมากในน้ำมันพืชข้าวซ้อมมือ ถั่วเปลือกแข็งและเมล็ดพืชต่างๆ เช่น อัลมอนด์ เมล็ดทานตะวัน ควรกินวันละ 1 ฝ่ามือเพื่อเสริมวิตามินอีให้แก่ร่างกาย ซึ่งคุณแม่อาจกินเป็นอาหารว่างระหว่างมื้อก็ได้ แต่ไม่ควรกินในปริมาณมากเกินไปเพราะอาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้

    วิตามินซี : ลดความดันของน้ำภายในลูกตาและช่วยให้เส้นเลือดฝอยคอยส่งเลือดไปหล่อเลี้ยง ดวงตาให้แข็งแรง พบในผักตระกูลกะหล่ำ เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อคโคลี หอมแดง มะเขือม่วง ผักที่มีสีน้ำเงินหรือม่วง รวมถึงผลไม้ต่างๆ โดยเฉพาะ เบอร์รี่สีเข้ม องุ่นแดง แอปเปิ้ลแดง ลูกเกด จะมีสาร แอนโตไซยานินส์ ช่วยให้การมองเห็นตอนกลางคืนดีขึ้น

    ธาตุสังกะสี : ควรได้รับควบคู่กับวิตามินเอจะช่วยป้องกันอาการมองไม่เห็นในช่วงกลางคืนได้ ดี เช่น ปลาทะเล ผักใบเขียว ข้าวซ้อมมือ เมล็ดฟักทองและเต้าหู้ เป็นต้น

         กินปลา... บำรุงสายตา    

          ในช่วงตั้งครรภ์ ควรหมั่นกินปลาทะเลเป็นประจำเพราะอุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งการกินปลาทะเลนึ่ง หรือลวกจะดีกว่า เพราะการทอดจะทำให้น้ำมันปลาซึมออกและสูญเสียคุณค่าทางอาหาร

           การได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 จะช่วยให้เรตินาในดวงตาสามารถรับภาพได้คมชัดขึ้น เสริมสร้างการมองเห็นทั้งแม่ และลูกตั้งแต่ตั้งครรภ์ และยังช่วยในการขับสารพิษตกค้างออกจากดวงตาได้อีกด้วย

เมื่อเด็กอยากสูง

เมื่อ เด็กอยากสูง

ลูกของท่านมีปัญหาต่อไปนี้หรือไม่ • ตัวเล็กมาตลอดเมื่อเทียบกับเพื่อนวัยเดียวกัน
• เติบโตช้ามาก ส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นไม่ถึง 4 ซม. ต่อปี
• เพื่อนรุ่นเดียวบางคนที่เตี้ยกว่าหรือสูงพอๆ กัน ตอนนี้สูงกว่า
• ตัวเล็กมากทั้งที่บิดามารดาสูง

       "หากมี ควรรีบปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเด็กมีอาการซึมเศร้า โดนเพื่อนแกล้ง หรือการเรียนแย่ลง เนื่องจากโรคเตี้ยบางสาเหตุมีทางแก้ไขได้หากได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ"
     การเจริญ เติบโตในเด็กผิดปกติจะถูกกำหนดโดยพันธุกรรม

      แม้การเจริญเติบโตของคนจะเป็นไปตามพันธุกรรมก็ตาม แต่การที่เด็กจะมีการเจริญเติบโตที่ดีนั้นต้องประกอบด้วยปัจจัยสิ่งแวดล้อม ต่างๆดังต่อไปนี้ มีภาวะโภชนาการดีและเหมาะสม มีสุขภาพทางจิตใจและอารมณ์ดี ปริมาณฮอร์โมนปกติ

      และสามารถออกฤทธิ์ได้ปกติไม่มีโรคเรื้อรังทางกายอื่นๆ มีการออกกำลังกายและ นอนหลับพักผ่อนเพียงพอ และประการสุดท้ายไม่มีความผิดปกติที่จะส่งผลทำให้มีการเจริญเติบโตที่ผิด ปกติ ของกระดูก เช่น ยาหรือสารเคมีจากภายนอก

จะทราบอย่างไรว่าเด็กตัว เตี้ยกว่าเกณฑ์หรือเติบโตช้าผิดปกติ
          การประเมินการเจริญเติบโตว่าปกติหรือไม่ ทำได้โดยการเอาส่วนสูงของเด็กจุดลงบนกราฟมาตรฐานน้ำหนัก และส่วนสูงของเด็กไทยที่อายุและเพศเดียวกัน และพบว่าต่ำกว่าเปอร์เซนต์ไทล์ที่ 3 ก็ถือว่าเตี้ย และติดตาม อย่างต่อเนื่องเพื่อดูลักษณะกราฟการเจริญเติบโต กรณีที่ส่วนสูงไม่ต่ำกว่าเปอร์เซนต์ไทล์ที่ 3

         แต่หากพบว่า มีการเบี่ยงเบนจากเปอร์เซนต์ไทล์เดิมไปในทิศทางที่ต่ำลงก็ถือว่าผิดปกติเช่น กัน แต่ทั้งสองวิธีต้องมีกราฟ มาตรฐาน อีกวิธีที่สะดวกคือดูอัตรการเจริญเติบโตในระยะที่ผ่านมา เด็กวัยเรียนอายุ 4-9 ปีจะเติบโตประมาณ 5 ซม.ต่อปี

         ซึ่งสามารถหาดูได้จากสมุดพกนักเรียน เด็กที่สงสัยว่าจะมีการเจริญเติบโตผิดปกติควรได้รับการ ตรวจ วินิจฉัยโดยแพทย์แต่เนิ่นๆ เนื่องจากบางภาวะสามารถให้รักษาได้และได้ผลดีกว่าหากรักษาตั้งแต่อายุ น้อยๆ ไม่ ควรรอจนอายุมาก หรือจนมีลักษณะเป็นหนุ่มสาวจึงค่อยมาพบแพทย์เพราะทำให้การรักษาไม่ได้ ผลดีเท่าที่ควร หรือไม่ได้เลย

ข้อมูลที่ควรนำไปด้วยเมื่อ พบแพทย์
          ส่วนสูงที่เคยวัดไว้ในสมุดพกนักเรียน นอกจากนี้ควรมีส่วนสูงบิดา-มารดา ผู้ที่นำเด็กไปพบแพทย์ควรเป็น บิดา-มารดาหรือคนใดคนหนึ่ง เพราะแพทย์จะซักรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติการเจ็บป่วยและประวัติอดีตของ เด็กด้วย หากแพทย์พบว่าเด็กเตี้ยหรือเติบโตช้าจริง

          แพทย์จะทำการซักประวัติและตรวจร่างกายเพื่อแยก สาเหตุทางกายอื่นๆที่ชัดเจนออกไป หากพบว่ามีข้อบ่งชี้หรือสงสัยว่าจะมีความผิดปกติทางฮอร์โมน แพทย์ จะนัดตรวจทางห้องปฎิบัติการต่อมไร้ท่ออีกครั้งหนึ่ง

ฮอร์โมนที่มีอิทธิพลต่อการ เจริญเติบโตหลังคลอด
          ฮอร์โมนที่มีผลต่อการเจริญเติบโตหลังคลอด ได้แก่ อินซูลิน ฮอร์โมนเติบโต ธัยรอยด์ฮอร์โมน และฮอร์โมนเพศ

         ฮอร์โมนที่พบบ่อยถ้าขาดและทำให้การเจริญเติบโตช้า ได้แก่ ฮอร์โมนเติบโต ธัยรอยด์ฮอร์โมน "เด็กเตี้ยที่มีสาเหตุจากขาดฮอร์โมนเติบโตและธัยรอยด์ฮอร์โมนสามารถรักษาได้ ผลดีหากตรวจพบ และ รักษาแต่เนิ่นๆ

        การตรวจความผิดปกติที่เกิดจากการขาดธัยรอยด์ฮอร์โมน
         ทำได้ง่ายเพียงเจาะเลือดตรวจหาระดับธัยรอยด์ฮอร์โมนเพียงครั้งเดียว หากพบว่าขาดจริงการรักษาทำโดย การให้ฮอร์โทนทดแทนทางปาก

         การตรวจหาความผิดปกติที่เกิดจากการขาดฮอร์โมนเติบโต
         การตรวจหาระดับฮอร์โมนเติบโตแตกต่างไปจากการเจาะเลือดโดยทั่วๆไป จำเป็นต้องให้ยากินหรือฉีดยา กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนเติบโตก่อน ดังนั้นคนไข้ต้องงดอาหารก่อนวันทดสอบ

         ระหว่างการทดสอบคนไข้ จะอยู่ภายใต้การดูแลของพยาบาล และแพทย์โดยใกล้ชิดเพื่อให้แน่ใจว่าผลการทดสอบสามารถแปลผลได้ แม่นยำ คนไข้บางรายอาจต้องทำการทดสอบ 2 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าคนไข้ขาดฮอร์โมนนี้จริงๆ

การรักษาคนไข้ที่ขาด ฮอร์โมนเติบโต ทำโดยการฉีดฮอร์โมนเติบโตเข้าใต้ผิวหนัง

         คนไข้ที่จะตอบสนองดีต่อการให้การรักษาด้วยการฉีดฮอร์โมนเติบโต คือคนไข้ที่ขาดฮอร์โมนเติบโตจริงๆ หากขาดมากจะตอบสนองดีกว่ารายที่ขาดไม่มาก ดังนั้นก่อนให้ฮอร์โมนเติบโตจึงจำเป็นต้องทำการทดสอบ ทุกราย

ปัจจัยที่มีผลต่อการรักษา
         การรักษาด้วยการให้ฮอร์โมนเติบโตจะได้ผลดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับอายุที่เริ่ม ให้การรักษา ความรุนแรงของการ ขาดฮอร์โมน ขนาดของฮอร์โมนที่ให้ วิธีการให้ และระยะเวลาที่ได้รับการรักษา การรักษาจะได้ผลดีหากให้ การรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม

         โดยสรุปเด็กที่มีปัญหาเติบโตช้าหรือตัวเตี้ย ควรนำเด็กไปพบแพทย์ก่อนที่เด็กจะมีลักษณะเข้าวัยหนุ่มสาว นำส่วนสูงของที่วัดไว้ก่อนหน้านี้ในสมุดวัคซีนและสมุดพกนักเรียนไปด้วย หากไม่มีสมุดวัคซีนหรือสมุดพก สามารถขอบันทึกการวัดได้จากสถานพยาบาลหรือโรงเรียนโดยตรง

         ส่วนสูงของบิดาและมารดา อายุที่เริ่ม เข้าวัยหนุ่มในบิดา(ถ้าหากจำได้) และอายุที่เริ่มมีประจำเดือนในมารดา บิดาและหรือมารดาควรไปกับเด็ก ด้วยเพื่อให้ประวัติเด็กกับแพทย์ผู้ดูแล เพื่อฟังคำแนะนำและแนวทางในการตรวจรักษา นอกจากนี้เด็กบาง รายอาจต้องการความช่วยเหลือดูแลจากแพทย์ทางจิตเวชเด็กอีกด้วย

เลือกครีมเพื่อผิวแม่ท้อง

เลือก ครีมเพื่อผิวแม่ท้อง


         เมื่อท้องอย่าลืมเลือกครีมที่เหมาะกับสภาพผิวช่วงนี้นะคะผิว ของคุณแม่ท้องมักจะแห้งง่าย และแตกลาย โดยเฉพาะผิวที่หน้าท้องซึ่งมีการขยายตัวอย่างมาก การเลือกครีมทาผิวที่เหมาะสมจะช่วยให้ผิวคุณแม่ยืดหยุ่น ลดความแห้งและการแตกลายได้ค่ะ

       1. ควรเลือกครีมแบบริชมอยส์เจอร์ไรซ์เซอร์ หรือที่มีส่วนผสมของวิตามินอี
       2. น้ำมันมะพร้าว น้ำมันงา น้ำมันมะกอก ดีต่อผิวและปลอดภัยจากสารเคมีตกค้าง

       3. เบบี้ออยล์ ชโลมตัวหลังอาบน้ำขณะตัวหมาด และควรเลี่ยงปัจจัยที่จะทำให้ผิวแห้ง เช่น

                - เลี่ยงอาบน้ำร้อนเพราะจะทำให้ผิวแห้ง
                - หลังอาบเสร็จควรทาครีมทันที
                - ไม่ควรทาแป้งเพราะจะทำให้ผิวยิ่งแห้ง
                - ดื่มน้ำและผลไม้เป็นประจำ
                - หมั่นทาครีมระหว่างวันหากคุณแม่ต้องนั่งในห้องแอร์


        จริงๆ อาการท้องแตกลายไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะผิวท้องจะแตกมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับสภาพผิวของคุณแม่แต่ละคนด้วยนะ คะ อย่ากังวลมากค่ะรักษาสุขภาพเพื่อลูกน้อยในครรภ์ดีกว่า

‘พยาธิ’ เชื้อโรคร้ายใกล้ตัวลูก

‘พยาธิ’ เชื้อโรคร้ายใกล้ตัวลูก


          คนสมัยก่อนเวลาเห็นเด็กตัวเล็กพุงโลก้นปอด มักจะบอกว่าสงสัยจะมีพยาธิ และคุณพ่อคุณแม่ก็พาลูกมาหาหมอ อยากได้ยาถ่ายพยาธิไปให้ลูกกิน ทั้งๆ ที่ยังไม่ตรวจดูเสียด้วยซ้ำว่าลูกมีพยาธิจริงไหม ถึงเวลาไขข้อข้องใจกันแล้วล่ะครับ
แบบนี้เสี่ยงติดพยาธิ
         ฟังแล้วน่ากลัวพิลึกนะครับ ความจริงเด็กสามารถติดพยาธิได้ทุกชนิดไม่ต่างจากผู้ใหญ่ แต่เพราะพฤติกรรมของเด็กทำให้เสี่ยงกับการติดพยาธิบางอย่างเป็นพิเศษ เช่น การที่เด็กชอบเอาของใส่ปาก อมนิ้ว โดยที่คุณพ่อคุณแม่ไม่รู้ ถ้าของสิ่งนั้นหรือมือไม่สะอาดและมีไข่พยาธิติดอยู่ ลูกก็อาจได้รับพยาธิกลุ่มพยาธิตัวกลมที่อาศัยในลำไส้ได้ง่ายโดยไม่รู้ตัว วิธีการรับเชื้อพยาธิแบบนี้คือผ่านการกิน

         ส่วนอีกหนทางหนึ่งที่พยาธิจะเข้าสู่ร่างกายคือ การสัมผัส พบบ่อยในเด็กวัยก่อนเรียนและวัยเรียน เพราะเด็กๆ ชอบเล่นหรือสัมผัสกับพื้นดินที่ชื้นแฉะซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของตัวอ่อนของ พยาธิ ยิ่งถ้าลูกไม่ชอบสวมรองเท้า ตัวอ่อนพยาธิก็จะไชเข้าตามง่ามมือและเท้า เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น สำหรับการสัมผัสเช่นนี้อาจทำให้ติดพยาธิบางชนิด โดยเฉพาะพยาธิปากขอได้

เอ๊ะ! ลูกเรามีพยาธิหรือเปล่า
         พอคุณแม่เห็นลูกกินเท่าไหร่แล้วไม่อ้วน หรือเล่นไปด้วยเกาก้นไปด้วย ก็เอะใจว่า ลูกมีพยาธิ จนต้องรีบมาขอยาถ่ายพยาธิจากหมอ ทั้งที่จริงแล้วอาการของคนที่ติดเชื้อพยาธิมีหลากหลายมากและเกิดได้กับเกือบ ทุกระบบของร่างกายครับ ขึ้นอยู่กับชนิดของพยาธิ แต่เด็กส่วนใหญ่มักติดเชื้อพยาธิในปริมาณที่ไม่มากจึงมักไม่มีอาการแสดงออก มา เพราะลุกมักหายเองได้อยู่แล้ว คุณแม่ไม่ต้องเป็นกังวลไปครับ แต่ถ้ามีพยาธิจำนวนมากก็อาจก่อให้เกิดอาการตามชนิดของพยาธิครับ

         พยาธิที่พบในเด็กส่วนใหญ่เป็นพยาธิที่อาศัยอยู่ในลำไส้ ลูกคุณแม่จึงมักมีอาการในระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสียบ่อยๆ และหายช้า ท้องอืด ตัวเล็ก ซีด อ่อนเพลีย เพราะพยาธิแย่งสารอาหารไป หรือบางคนอาจมีอาการคันก้น โดยเฉพาะช่วงเช้าๆ เพราะพยาธิจะมาออกไข่บริเวณรูทวาร

          อย่าง ไรก็ตาม อาการดังกล่าวไม่ได้จำเพาะกับโรคพยาธิอย่างเดียวนะครับ เด็กตัวเล็กทุกคนมีโอกาสเกิดพยาธิได้ไม่ว่าอ้วนหรือผอม หากลูกของคุณแม่มีอาการเข้าข่ายน่าสงสัย จึงควรพาไปตรวจอุจจาระ เพื่อการวินิจฉัยให้รู้ชนิดของพยาธิที่แน่นอน แล้วค่อยทำการรักษาดีกว่าครับ
ซื้อยาถ่ายพยาธิกินดีมั้ย
        ปกติยาถ่ายพยาธิค่อนข้างปลอดภัยครับ แต่อาจมีผลข้างเคียงไม่มากนัก คืออาจจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ยัง มีการศึกษาการใช้ยาในเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปีน้อยมาก เพราะเด็กเล็กยังมักไม่ติดเชื้อพยาธิ จึงไม่มีผู้ใช้ยามากพอที่จะยืนยันความปลอดภัยในเด็กเล็กครับ
        การใช้ยาถ่ายพยาธิในเด็ก คุณหมอจะต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ทางที่ดีที่สุดคุณแม่ควรพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อตรวจให้รู้แน่ๆ ก่อนว่าติดเชื้อพยาธิหรือไม่ แล้วค่อยคิดว่าจะกินยาถ่ายพยาธิหรือไม่ น่าจะปลอดภัยที่สุด หมอไม่แนะนำให้คุณแม่ซื้อยาถ่ายพยาธิมาให้ลูกกินเอง เพราะพยาธิแต่ละชนิดใช้ยาขนาดไม่เท่ากัน ระยะเวลาการรักษาไม่เท่ากัน แถมยาถ่ายพยาธิมีหลายชนิดเพื่อให้เหมาะกับชนิดพยาธิ บางครั้งใช้ยาไม่ถูกชนิดก็ไม่หาย แต่จะมีผลเสียมากกว่าอีกนะครับ

ฝึกนิสัยห่างไกลพยาธิ
        การติดเชื้อพยาธิป้องกันได้นะครับ ไม่จำเป็นว่าเด็กทุกคนต้องเคยติดเชื้อพยาธิเสมอไป ถ้าเรารู้จักดูแลสุขอนามัยให้ดี ก็ไม่น่าจะติดเชื้อพยาธิได้ ด้วยวิธีง่ายๆ ครับ

        อาหาร ความจริงอาหารไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอาหารควรจะปรุงสุก สะอาด แต่ที่จะขอเน้นคือผัก เพราะบางครั้งการล้างผักสดไม่สะอาดก็อาจจะปนเปื้อนพยาธิได้ เพราะฉะนั้นคุณแม่ควรล้างทีละใบ โดยเปิดน้ำไหลผ่าน วิธีนี้ช่วยได้ทั้งล้างพยาธิและยาฆ่าแมลงครับ

        ของเล่นและสิ่งแวดล้อม การจะห้ามเด็กเอาของใส่ปากคงจะยากนะครับ แต่ถ้าของที่อมสะอาดขนาดกินได้ คิดว่าน่าจะทำได้ง่ายกว่า คุณแม่ควรนำของเล่นมาทำความสะอาดบ่อยๆ หรือบริเวณที่ปล่อยให้ลูกเล่นควรสะอาด ไม่มีมูลสัตว์ และไม่มีขยะมูลฝอย ก็ช่วยลดความเสี่ยงของพยาธิ และโรคท้องเสียได้มากครับ สำหรับเด็กโตที่เคลื่อนไหวอิสระ ก็ต้องบังคับให้สวมรองเท้าก่อนที่จะออกไปสัมผัสดินนอกบ้านครับ

        เล็บและมือ คุณแม่ควรฝึกให้ลูกล้างมือบ่อยๆ จนติดเป็นนิสัย และตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ เพราะเล็บที่ยาวและมือที่ไม่สะอาดเป็นที่อยู่อาศัยของพยาธิได้เป้นอย่างดี ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่ควรตัดเล็บให้ลูกเป็นประจำ อย่างน้อยตรวจดูสัปดาห์ละครั้งครับ เพราะเด็กเล็กเล็บยาวเร็วมาก

        เพียงคุณแม่รู้จักและเข้าใจวิธีการป้องกันให้ลูกเล็กห่างจากพยาธิ หมอว่าต่อไปคุณแม่ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะใช้ยาถ่ายพยาธิให้ลูกเล็กได้หรือไม่ ครับ

สวัสดี คุณพยาธิ
      พยาธิมาจากไหนคุณแม่รู้ไหมครับ คำตอบคือไข่พยาธิอาจปนเปื้อนมาจากอุจจาระของคนที่ติดเชื้อพยาธิ มูลสัตว์ หรือบางครั้งไข่พยาธิและตัวอ่อนพยาธิ ก็สามารถปนเปื้อนมากับน้ำดื่มหรืออาหารที่ไม่สะอาด เช่น ผักดิบ เนื้อสัตว์สุกๆ ดิบๆ ฯลฯ

       แพทย์และนักวิทยาศาสตร์มักแบ่งกลุ่มพยาธิออกตามลักษณะหน้าตาของตัวพยาธิ โดยแบบเป็นกลุ่มใหญ่ๆ 3 กลุ่ม ดังนี้

        พยาธิตัวกลม พยาธิชนิดนี้พบบ่อยในเด็กครับ ลักษณะตัวกลมยาวๆ คล้ายไส้เดือนดิน ระวังอย่างสับสนกับไส้เดือนดินนะครับ ไส้เดือนดินไม่ใช่พยาธิเพราะอาศัยอยู่ในสัตว์อื่นไม่ได้ พยาธิตัวกลมมีความยาวตั้งแต่ตามองแทบไม่เห็นจนยาวเป็นฟุต (เห็นแล้วคิดถึงเส้นสปาเกตตี้) พยาธิตัวกลมที่เรารู้จักกันดี เช่น พยาธิเข็มหมุด พยาธิเส้นด้าย พยาธิแส้ม้า พยาธิปากขอ พยาธิไส้เดือน เป็นต้น

        พยาธิตัวแบน มีลักษณะตัวแบนๆ ถ้าคล้ายใบไม้เรียกว่า พยาธิใบไม้ มีขนาดตั้งแต่ใบเล็กตามองไม่เห็นจนถึงขนาดหลายนิ้ว พยาธิตัวแบนคล้ายใบไม้ที่รู้จักกันดี เช่น พยาธิใบไม้ในตับ พยาธิใบไม้ในลำไส้ และพยาธิใบไม้ในปอด แต่ถ้าตัวแบนคล้ายก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่เรียกว่า พยาธิตัวตืด ซึ่งตัวใหญ่ๆ ยาวเป็นเมตรก็มี ชนิดที่รู้จักดีในกลุ่มนี้ เช่น พยาธิตัวตืดในวัวและตัวตืดในหมู

        พยาธิโปรโตซัว เป็นพยาธิอีกชนิดหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็กมาก ถือเป็นสัตว์เซลล์เดียว ซึ่งต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดู พวกนี้บางทีก็พบอาศัยอยู่ตามธรรมชาติได้

ไซส์ท้อง (แม่) เรื่องน่ารู้



      “ท้องแหลม เพื่อนก็ทักว่าได้ลูกชาย ไม่รู้จะจริงหรือเปล่า ไว้รอลุ้นดีกว่าไม่อยากอัลตร้าซาวนด์ค่ะ”

      “ท้องดูกลม ตอนตั้งท้องมีแต่คนบอกว่าท้องนี้ต้องได้ลูกผู้หญิงแน่ แต่สุดท้ายก็ได้ลูกชาย”
           หลากความเชื่อเรื่องการตั้งครรภ์ หนึ่งในนั้นมีเรื่องของลักษณะท้องที่เชื่อว่าสามารถคาดเดาเพศลูกได้ ซึ่งมักจะ เชื่อกันว่า ท้องแหลมเป็นลูกผู้ชาย ท้องกลมเป็นลูกผู้หญิง จริงๆ แล้วไม่เคยมีการเก็บสถิติที่ชัดเจนค่ะ แต่เมื่อความ เชื่อนั้นไม่ได้กระทบต่อสุขภาพของคุณแม่ท้อง จึงได้ไปขอความกระจ่างจาก พญ.กันดาภา ฐานบัญชา สูติแพทย์ โรง พยาบาลบี แคร์ เมดิคอลเซ็นเตอร์ ว่าที่ท้องของคุณแม่มีลักษณะอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับอะไรกัน

      เหตุที่ท้องมีหลายลักษณะ     
          จริงๆ แล้วลักษณะท้องในขณะตั้งครรภ์ที่แตกต่างกันนั้นมีที่มาจากสรีระของตัวคุณแม่ นั่นเอง ลักษณะท้องของ แม่ตั้งครรภ์ที่มักจะพบได้บ่อยคือ ท้องแหลม และท้องกลมหรือท้องป้าน ซึ่งการจะมีลักษณะท้องแบบใดนั้นขึ้นอยู่กับ

     1. รูปร่างและลักษณะของมดลูก คุณแม่ที่มีมดลูกคว่ำมาทางด้านหน้า เมื่อตั้งครรภ์จะทำให้ท้องแหลมยื่นออก มาด้านหน้า ส่วนคุณแม่ที่มีลักษณะมดลูกคว่ำค่อนไปทางด้านหลัง ท้องจะมีลักษณะท้องกลม

     2. กล้ามเนื้อหน้าท้อง หากคุณแม่มีกล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรง (เกิดจากการออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ) เมื่อตั้งครรภ์ ท้องจะกลมเพราะกล้ามเนื้อส่วนหน้ามีความกระชับ ส่วนคุณแม่ที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย กล้ามเนื้อหน้า ท้องไม่แข็งแรง หรือเป็นท้องหลัง (ท้องที่สองขึ้นไป) การที่กล้ามเนื้อเคยยืดขยายมาแล้ว ก็จะส่งผลให้ท้องยื่นออก มาด้านหน้ามาก หรือที่เราเรียกว่าท้องแหลมลักษณะท้องบ่งบอกสุขภาพ

          อีกลักษณะของท้องที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายคือ ท้องต่ำ เมื่อท้องขยายขนาด ใหญ่ขึ้น บวกกับ การที่กล้ามเนื้อหน้าท้องไม่แข็งแรง และเป็นท้องหลัง ก็อาจจะทำให้ท้องต่ำ หรือ ท้องย้อย ซึ่งเมื่อท้องย้อยลงมามาก คุณแม่อาจจะรู้สึกหน่วง ทำให้การเดินและการเคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว และอาจจะรู้สึกเมื่อยมากกว่าปกติ เพราะไม่ มีกล้ามเนื้อหน้าท้องมาช่วยพยุงท้องไว้

     อายุครรภ์กับขนาดท้อง          - ไตรมาสแรก (ประมาณ 0 - 12 สัปดาห์) ขนาดมดลูกยังไม่ขยาย แต่บางคนที่รู้สึกว่าท้องใหญ่ขึ้นนั้นเป็น เพราะท้องอืด เพราะฮอร์โมนจากการตั้งครรภ์ทำให้แพ้ท้องและมีท้องอืดร่วมด้วย

     - ประมาณสัปดาห์ที่ 10 - 12 จะเริ่มคลำขนาดมดลูกที่หน้าท้องได้เหนือหัวหน่าวเล็กน้อย

     - ช่วงเริ่มเข้าสู่สัปดาห์ที่ 14 มดลูกจะอยู่ 2 ใน 3 นับจากสะดือไปถึงหัวหน่าว (เวลาแบ่งช่วงหน้าท้องทางการ แพทย์จะแบ่งจากใต้สะดือเป็น 3 ส่วน เหนือสะดือเป็น 4 ส่วน)

     - ช่วงสัปดาห์ที่ 20 ยอดมดลูกจะอยู่ที่ระดับสะดือพอดี

     - หลังจากสัปดาห์ที่ 20 ขนาดของมดลูกจะมีขนาดเท่ากับอายุสัปดาห์ เช่น ถ้าอายุครรภ์ 23 สัปดาห์ จะวัดยอด มดลูกจากเหนือหัวหน่าวได้ 23 ซม.พอดี ซึ่งเป็นวิธีที่หมอสูติใช้ตรวจว่าขนาดมดลูกด้วยว่าเจริญเติบโตเท่ากับอายุ หรือ ไม่

     - หลังจาก 37 สัปดาห์ (หรืออาจจะมากกว่านี้กับคุณแม่บางคน) คุณแม่จะรู้สึกว่าท้องเริ่มลด นั่นเป็นเพราะลูก กำลังกลับศีรษะลงในอุ้งเชิงกราน จึงทำให้รู้สึกเหมือนท้องลด ถือเป็นสัญญาณใกล้คลอดให้คุณแม่ได้ด้วย แต่หาก เด็กตัวใหญ่มาก ไม่ยอมกลับศีรษะ แต่ใช้ส่วนนำเป็นก้น แม่จะรู้สึกแน่น ตึง เพราะมดลูกค้ำอยู่กรณีนี้จะต้องผ่าคลอดค่ะ

           นอกจากความเชื่อที่ว่าลักษณะท้องบอกเพศลูกได้แล้ว คุณแม่หลายท่านอาจจะเชื่อว่าการกลัดเข็มขัดที่เสื้อ คลุมท้องก็จะช่วยให้คลอดง่าย แต่ความเชื่อก็ยังเป็นความเชื่อค่ะ หากเชื่อแล้วสบายใจไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพคุณ แม่ก็คงไม่มีใครห้าม แต่ก็อย่าเชื่อจนละเลยลืมดูแลสุขภาพกันนะคะ